ภาพหัวบล็อก

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคสร้างสมาธิในการเรียน

เทคนิคสร้างสมาธิในการเรียน


บอกลาอาการง่วง ซึมเซา วอกแวก ฟุ้งซ่าน ด้วยวิธีเสริมสร้าง “สมาธิ” อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยหลักปฏิบัติง่าย ๆ 5 ข้อ


วัยเรียนหลายคนที่มักเผชิญปัญหาสมาธิสั้น หรือบ่อยครั้งจดจ่อกับกิจกรรมเป็นบางเรื่อง แต่ก็เพียงระยะเวลาไม่นานนัก นั่นเป็นเพราะน้อง ๆ อาจละเลยความสมดุลของตารางกิจวัตรประจำวันไป จนส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ และจดจำ อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวปรับแก้ได้ด้วย 5 วิธีสร้างสมาธิง่าย ๆ ดังนี้
 เริ่มจาก หลับเพื่อสมอง ในอัตราที่เพียงพอ 6-7 ชั่วโมง ระบบประสาทจะถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในวันถัดไป บอกลาอาการง่วง ซึมเซาได้เลย หากนอนให้เป็นระบบทุกวัน ร่างกายจะคุ้นชิน และส่งผลดีต่อสมองในระยะยาวด้วย
 เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้ผลวิจัยในต่างประเทศจะพบว่า คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า กระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป สำหรับวัยเรียนลองลดความเข้มข้นจากกาแฟเป็นชาจะเหมาะต่อสุขภาพมากกว่า
 ขยับกายยืดเส้นยืดสาย ในระหว่างรอเรียน หรือเปลี่ยนคาบเรียน อาจลุกเดินรอบ ๆ ห้อง ก้ม เงย หยุดพักสายตาที่สนามสีเขียว หรือจิบน้ำเปล่าบ้าง ช่วยเติมความสดชื่น คลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ และเป็นการเรียกสมาธิให้กลับคืนมา
 สร้างสมาธิด้วยโยคะ รวมถึงการออกกำลังกายลักษณะอื่น อาทิ วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ ฯลฯ เมื่อร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน จะรู้สึกกระชุ่มกระชวย นอกจากช่วยคลายเครียดแล้ว ยิ่งปฏิบัติสม่ำเสมอจะทำให้จิตใจสงบ ไม่วอกแวก หรือฟุ้งซ่าน มีผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้นานขึ้นด้วย
 กำหนด หรือควบคุมเวลา โดยเฉพาะเมื่อต้องสะสางงาน รายงาน การบ้าน อ่านหนังสือ รวมถึงกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยตั้งเป้าช่วงเวลาเสร็จสิ้นให้ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับกระตุ้นสมองให้เร่งตอบสนอง จดจ่อ มุ่งมั่นอยู่กับความรับผิดชอบนั้น ๆ
นับเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการปรับสมดุล และความแปรปรวนของร่างกาย สู่การเสริมสร้างสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยวิธีง่าย ๆ ข้างต้น ลองนำไปปรับใช้ดูนะ



วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การดูแลสมองด้วย 9 วิธี

การดูแลสมองด้วย 9 วิธี

http://math.daruss.ac.th/wp-content/uploads/2010/11/original_POM-Brain.jpg

1.เสริมสร้างไขมัน อันที่จริงแล้วสมองของคนเรานั่นก็คือก้อนไขมัน ซึ่งไขมันในที่นี่คือไขมันดี เพื่อเสริมสร้างและทดแทนส่วนที่สึกหรอไป ดังนั้นการบบำรุงสมองวิธีหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมกันคือการรับประทาน น้ำมันปลา เพราะน้ำมันปลาต่างจากน้ำมันตับปลาตรงที่น้ำมันตับปลาสกัดจากตับของปลาทะเล บางชนิด ซึ่งมีวิตามิน A และ D ในปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับเสริมสร้างกระดูกและสายตา ซึ่งในน้ำมันปลามีน้อยกว่ามาก ประโยชน์ของน้ำมันปลา คือ ลดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะลดไตรกลีเซอไรด์ และมีฤทธิ์ในการต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดจึงช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี ขึ้น บำรุงสมองและระบบประสาทเหมาะสำหรับทารกจนถึงวัยเด็กที่สมองกำลังพัฒนาสติ ปัญญา และการเรียนรู้ การทำงานของสมองป้องกันความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้านการอักเสบ เช่น ไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังบางชนิด และนอกจากน้ำมันปลาแล้ว สารสกัดใบแปะก๊วย นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรส ส่วนวิตามินซี นับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสมองและร่างกายอย่างยิ่ง 

2.น้ำช่วยชีวิต เนื่องจากสมองคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 85 % เซลล์สมองเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้และเซลล์สมองก็จะเ่ยวซึ่งส่งให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อที่จะช่วยทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง โดยทั่วไปแล้ว เรามักได้ยินกันว่า คนเราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น คือควรดื่มวันละ 14 แก้ว ได้แก่ 1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว 2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว 3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว 4. ในเวลา 10.00, 14.00, 16.00 เวลาละ 1 แก้ว 5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว รวม 14 แก้ว ซึ่งน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่นควรดื่มตอนเช้าเพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย ส่วนข้อควรจำเกี่ยวกับการดื่มน้ำนั้นคือ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลาเป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะดีกว่า 

3. ใส่ใจและตั้งใจ ไม่ว่าจะทำอะไร หากคนเรามีความตั้งใจที่จะทำ มันเปรียบเสมือนเป็นโจทย์ที่ทำให้เราต้องก้าวไป ให้ถึงสิ่งที่ต้องการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สมองจะปรับพฤติกรรมทำเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นๆ ดังนั้นหากอยากฝึกสมองให้มีการพัฒนาทุกวัน ควรใส่ความตั้งใจทุกครั้งที่ทำงาน 

4.ฝึกจิต ฝึกสมาธิ การฝึกจิตและสมาธิ นับเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งเพราะการที่คนเราได้ทำ สมาธินั้น สมองจะเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายที่สุด จึงทำให้สมองมี Mental Imagery ที่สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้การฝึกสมาธิ ฝึกจิต รวมไปถึงการเจริญสติอยู่ทุกเมื่อนั้น ยังเป็นการบรรเทาอาการ สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

5. บริหารกายใจด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในทุกๆครั้งที่คนเราได้ยิ้มหรือหัวเราะ สารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข จะหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรัก และหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ และทำให้คนเรามองโลกในแง่บวกมากขึ้นอีกต่างหาก 

6.รู้จักอภัย การที่คนเราไม่รู้จักให้อภัยตนเอง นั่นหมายถึงว่าเราก็จะไม่สามารถให้อภัยผู้อื่นได้เช่นกัน ซึ่งการให้อภัยนี้เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่อารมณ์อันขุ่นมัวทำให้เปลืองพลังงาน สมอง ดังนั้นการให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง 

7. เปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ การเรียนรู้อยู่เสมอนั้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสายเกินเรียน ซึ่งการเรียนรู้ในที่นี้อาจรวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุข ซึ่งความสุขจะทำให้เราสร้างสรรค์ในที่สุด 

8. เขียนเรื่องราว ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์ 

9. หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง เราควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืน หรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอา ออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

“อาหาร” เสริมสมอง บำรุงประสาท

“อาหาร” เสริมสมอง บำรุงประสาท



         สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญยิ่งในร่างกายมนุษย์ การบำรุงสมองถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม ซึ่งอาหารที่เราทานอยู่ทุกวันนี้คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารประเภทใดที่มีประโยชน์และช่วยบำรุงสมอง ประเภทใดที่ส่งผลร้ายต่อสมอง......

          กินแป้งมากนัก...
สมองเฉื่อย นักวิจัยด้านอาหาร กล่าวว่า คนที่ชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวในปริมาณมากๆ อาจมีผลทำให้ได้รับอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลมาก หากไม่อยากสมองทึบหรือมีอาการง่วงเหงาหาวนอนบ่อย จึงควรลดอาหารประเภทแป้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโดนัท เค้ก กล้วยทอด มันทอด รวมทั้งไอศกรีม ทำใจแข็งเลี่ยงได้ควรเลี่ยงเสีย
นอกจากนี้ ขณะท้องว่างแทนที่จะง่วนอยู่กับของขบเคี้ยวประเภทแป้งดื่มนมสักแก้ว จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น สารเคมีในสมองมีอยู่หลายชนิด แต่ที่จะกล่าวถึง คือ เซโรโทนิน (Serotonln) ที่ทำให้สมองสงบ ลดความตื่นเต้น และโดพามีน (Dopamine)
ผลไม้กับถั่ว...แหล่งแร่ธาตุที่สำคัญตัวหนึ่งคือ โบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ถ้าร่างกายได้รับธาตุโบรอนเสริมจากผลไม้หรือถั่ว จะช่วยให้สมองทำงานฉับไวขึ้น
ปลาทะเลก็เป็นสารอาหารสุดยอดเพื่อสมอง โดยเฉพาะแร่ธาตุสังกะสีและไอโอดีนที่สมองขาดไม่ได้ นอกจากนี้ไขมันของปลาทะเลหลายชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลากะพง ปลาโอ ยังมีกรดไขมัน 
ดีเอชเอ (DHAหรือDocoda Hexaenoic Acid) อยู่ไม่น้อย
โบรอน... พบมากในถั่งเปลือกแข็งทั้งหลาย เช่น เกาลัด แมดคาเดเมีย รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ นอกจากนี้ผลไม้ไทย เช่น องุ่น พุทรา ฝรั่ง ชมพู่ก็มีสารโบรอนมากเช่นกัน ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสมองจะเป็นผลดีมากสำหรับเด็กซึ่งสมองกำลังพัฒนา หากได้รับประทานปลาทะเลในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้สมองตื่นตัว กระปรี้กระเปร่าสารเคมีทั้งสองชนิดนี้ จะทำงานร่วมกัน ความสมดุลของสารเคมีทั้งสองจึงมีความสำคัญต่อความคิด ความอ่าน และอารมณ์ของคนเราอย่างมาก อาหารที่เรารับประทานจะเป็นตัวสร้างและปรับสมดุลสารเคมีทั้งสองชนิดนี้
ไขมัน...อาหาร ที่ควรเลี่ยง อาหารที่มีไขมันสูง ประเภททอดน้ำมันท่วมทั้งหลาย หนังไก่ หรือสะเต๊ะหมูติดมัน ฯลฯ จัดเป็นอาหารกลุ่มที่ย่อยได้ช้า ซึ่งร่างกายอาจต้องใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารประเภทนี้มากเกินความจำเป็น ทำให้เหลือพลังงานที่จะแบ่งปันให้สมองได้น้อยลง

ไข่...  ยอดอาหารโปรตีนราคาไม่แพง แถมช่วยทำให้สมองโปร่งสดชื่น เพราะไข่มีโปรตีน ทั้งนี้ไข่ไก่ให้คุณค่าโปรตีนมากกว่าเครื่องดื่มบรรจุขวดประเภทซุบไก่สกัด หรือรังนกที่มีราคาแพง อีกทั้งยังย่อยง่าย และมีสารเลซิติน ซึ่งมีวิตามินบีที่ชื่อว่า โคลีน (Choline) ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
หากรับประทานอาหารได้ตามนี้ ยาตำรับไหนก็สู้ไม่ได้ รับรองว่านอกจากร่างกายแข็งแรงแล้วสมองยังแข็งแกร่งด้วย


10 วิธี ทำให้สมองแจ่ม

10 วิธี ทำให้สมองแจ่ม


สดใส

1.เล่นเกมส์แนววางแผน
ทำไม? การเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับการวางแผนจะช่วยให้คุณเพิ่ม ทักษะการคิดด้านการวางแผนและทำให้คุณรู้จัก วิธีแก้ปัญหาที่คล้ายๆกันได้ หากเจอปัญหาในชีวิตจริง ทำไง? เกมส์แนวนี้มีเยอะ ทั้งเกมส์กระดาน เช่น หมากรุก หรือวีดีโอเกมส์ ก็มีแนวนี้เยอะจะตาย เลือกสักเกมส์ที่คุณอยากเล่นดู

2 เลิกบุหรี่!ทำไม? นอกจากการสูบบุหรี่จะทำร้ายคนอื่นแล้ว ควันบุหรี่นี่แหละทีเ่ป็นปัจจัยที่ทำให้คุณ ดูแก่ขึ้น และลดความสามารถในการจดจำ ทำไง? การเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก แต่มันก็ ทำได้นะครับ มีวิธีแนะนำหลายๆอย่างเลยเกี่ยวกับ การเลิกบุหรี่ ลด ละ เลิก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้ผลดีทีเดียว

3 หางานอดิเรกที่สร้างสรรค์ทำทำไม? งานด้าน Creative จะพัฒนาสมองด้านขวา ในขณะที่ สมองด้านซ้ายจะเกี่ยวกับด้านความคิด ตรรกะต่างๆ พยายามใช้สมองทั้งสองด้าน แล้วสมองของคุณจะแจ่ม!! ทำไง? ใช้เวลาสักชั่วโมง เพื่อทำงานอดิเรกที่ creative เช่น วาดรูป แกะสลัก ถ่ายภาพ หรือแม้แต่ทำอาหาร ถ้าคุณไม่รู้จะทำไรดี ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ


4 อ่านมากเก่งมากทำไม? คงไม่มีใครจะปฎิเสธนะครับว่าการอ่านมีประโยชน์แค่ไหน เดี๋ยวนี้นิยายหลายเรื่อง ก็มีในรูปแบบดิจิตอล หรือหาอ่าน แบบออนไลน์ก็ได้ ทำไง? เลือกหนังสือมาสักเล่ม แล้วเริ่มอ่าน อ่านปกมันดูก่อนก็ได้ แล้วลองหาดูว่า เล่มไหนที่เราอยากอ่าน หาเจอแล้วก็อ่านมันเสีย

5 เล่นเกมส์พัฒนาสมองทำไม? เกมส์ด้านตรรกะ จะช่วยให้คุณได้ใช้งานสมอง ด้านซ้าน ช่วยพัฒนากระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล และทำให้กระบวนการคิดด้านตรรกะดีขึ้น ทำไง? เดี๋ยวนี้มีเกมส์แนวนี้เยอะแยะ เช่นเกมส์อักษรไขว้ โซดูกุ หาซื้อสักเล่มก็ได้ หรือจะเล่นวีดีโอเกมส์ หรือเกมส์คอมฯ ที่มันเอาไว้ "พัฒนาสมอง" หรือไม่ก็หาเล่นเกมส์แนวนี้ออนไลน์ ก็ได้ มีเยอะแยะเีชียวแหละคับ ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ


6 เข้าเรียน!!ทำไม ละ? ก็ความรู้คือพลังไงละ เคยได้ยินบ่? ทำไงดี? พยายามหาความรู้เข้าสมองให้เยอะๆ มีเรียนก็เข้าเรียน หุๆ แค่เพียงการ เทคคอร์สสักคอร์ส เพียงคอร์สเดียว ก็จะช่วยให้คุณได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วแหล่ะ รู้มาก เก่งมาก ไม่ยาก ใช่ไหม....

7 กินเยอะๆ พวกผักสีเขียวทำไม ละ? ผักสีเขียวหนะมีวิตามินสูง ทั้งยังมีแอนตี้ออกซิเด้นที่จะช่วยป้องกัน ความจำเสื่อม เช่น vitamin E,C,B มีอยู่เยอะในผักสีเขียว ดังนั้นกินเข้าไปโลด ดีทั้งนั้น ทำไง? กินผักผลไม้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ลองทำอาหารบำรุงสมองเช่นสลัดดูก็ได้

8 ออกกำลังกาย
ทำไมละ? ออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ จะทำให้่ช่วยให้ ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น และทำให้หัวใจไม่เสื่อมเร็วด้วย ทำไง? ไปออกกำลังกายไง เน้นการออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ


 9 ผ่อนคลายทำไม ละ? ก็เพราะว่าความเครียดมีผลต่อด้านจิตใจ และลดประสิทธิภาพด้านความคิด ทำไง? พยายามทำอะไรที่เป็นการ relax เช่นการนั่งสมาธิ เช่นโยคะ เป็นต้น

10 นอนหลับอย่างเพียงพอทำไม ละ? การอดหลับอดนอน มันมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายของเฮา โดยเฉพาะในส่วนของการรับรู้ ดังเช่น ความทรงจำ และ สมาธิ นอนไม่พอยังทำให้เกิดปรากฎการณ์ ที่เรียกว่า snowball effect แถมจะมีผลเรื้อรังอีกด้วยนะ!! ทำไง? เข้านอนให้ตรงเวลา ก่อนนอนก็อย่าแจ้นไปกินข้าว เล่นเกมส์ หรือ หาโน่นหานี่มาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาว พยายามเข้านอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นขึ้นมารับรุ่งอรุณ ได้อย่างแจ่มใส เข้านอนแต่หัวค่ำจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีและ กระปรี้กระเปร่าด้วยนะ เจ๋งไหมละ!!


ไขข้อข้องใจอ่านหนังสืออย่างไร “จำแม่นที่สุด”

ช่วงเวลานาทีทอง!!เหมาะทบทวนหนังสือ



ไขข้อข้องใจอ่านหนังสืออย่างไร “จำแม่นที่สุด”พร้อมบอกลาความงัวเงีย ตื่นเต็มตาด้วย “เทคนิคพิชิตง่วง”
เป็นข้อสงสัยที่วัยเรียนส่วนใหญ่อยากไขคำตอบ กับคำถาม เวลาไหนเหมาะสำหรับการทบทวนหนังสือ?


 จะสังเกตว่า เมื่อความคิดของน้อง ๆ นิ่ง และ ไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องใด นั่นคือช่วงที่ควรหยิบหนังสืออ่าน และจดจำเนื้อหาที่สุด ดังนั้น ยามเช้าหลังตื่นนอนก็ดี หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งพักผ่อนมาแล้วพอสมควร ก็เหมาะเช่นกัน

 ขณะ ที่ สภาพแวดล้อมในห้องยังสำคัญต่อการเรียนรู้ด้วย โดยการอ่านกับไฟสลัว ๆ ดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้น บรรยากาศที่สงบเงียบ ยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง

 นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยคลายความงัวเงียอย่างถาวร ด้วยการตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ

 จาก นั้น ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย

 ทั้ง นี้ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ น้อง ๆ ควรหมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอ เพราะการค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ จะช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาสอบ จะสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

5 ขั้นตอนปลุกสมองตื่นตัวก่อนเรียน

5 ขั้นตอนปลุกสมองตื่นตัวก่อนเรียน



ชวน “อัพพลังความคิด”พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใส ด้วย 5 เทคนิคง่ายๆ
ปฏิบัติไม่ยากแม้ในเวลาแสนจำกัด!!

 เริ่มจากนอนหลับให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนน้อยจะทำให้ประสิทธิภาพการจำลดลง ทั้งยังนำไปสู่การมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น โดยผลการศึกษาด้านโภชนาการของนักวิจัยในสหรัฐอเมริกา พบว่า ระบบดูดซึมสารอาหาร และเผาผลาญพลังงานของร่างกายจะลดลงเมื่อนอนหลับน้อยเกินไป ดังนั้น น้อง ๆ ควรพักผ่อนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

 อาบน้ำอุ่น-เย็น เพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมในร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากน้ำอุ่นก่อน เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จากนั้น ปลุกเร้าประสาทสัมผัส และทำให้กล้ามเนื้อสดชื่นด้วยน้ำเย็น

 ทานมื้อเช้าเป็นประจำ เนื่องจากขณะหลับร่างกายยังคงใช้สารอาหารอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น แม้หลายคนจะมีกิจวัตรรีบเร่งจนไม่มีเวลาทานข้าว ก็ไม่ควรปล่อยเลยตามเลย ลองเติมพลังงานใหม่ด้วยมื้อด่วนที่มีคุณค่าอย่าง นม เครื่องดื่มธัญญาหาร ผลไม้ ขนมปัง หรือแซนวิชโฮลวีท เท่านี้ก็พร้อมรับมือกับการเริ่มต้นเรียนรู้ในแต่ละวันแล้ว

 ดื่มน้ำผัก-ผลไม้ แหล่งสารอาหารซึ่งอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด อีกทั้ง รสหวานจากธรรมชาติ ยังให้พลังงานแก่ร่างกาย คลายความอ่อนเพลีย กระตุ้นความสดชื่น และคืนความกระปรี้กระเปร่าได้ดี

 นวดเรียกความสดชื่น โดยใช้ 2 นิ้ว นวดชีพจรบริเวณท้องแขนประมาณ 2-3 นาที จากนั้น ใช้ 2 นิ้ว กดลงบนกลางหน้าผากทั้ง 2 ด้าน ค้างไว้ประมาณ 2-3 นาที จะช่วยบริหารสมอง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และคลายความตึงเครียดได้



สำหรับวัยเรียนที่รู้สึกว่าตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่สดชื่น สมองตื้อ มึน งง ลองเรียกความกระฉับกระเฉงด้วยวิธีข้างต้นดู เมื่อร่างกายพร้อม สมองย่อมเรียนรู้ และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพไปด้วยนั่นเอง.